ชวนตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูดไขมัน


หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการดูดไขมัน แต่มีอีกหลายคนที่อาจยังไม่รู้ข้อมูลเบื้องลึกว่า การดูดไขมันมีขั้นตอนอย่างไร? บริเวณไหนสามารถดูดไขมันได้บ้าง? มีวิธีเตรียมตัวอย่างไรก่อนดูดไขมัน? หลังจากดูดไขมันมีวิธีดูแลอย่างไร? และอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับการดูดไขมัน ที่บางคนอาจยังไม่รู้ เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันค่ะ


ส่วนใดของร่างกายที่สามารถดูดไขมันได้บ้าง?

บริเวณที่สามารถดูดไขมันได้ คือ คาง คอ แก้ม สะโพก หน้าท้อง เอว เข่า ต้นขา และแขน เป็นต้น

บริเวณที่นิยม ดูดไขมัน

การดูดไขมันมีขั้นตอนอย่างไร?

• ฉีดสารละลายน้ำเกลือ (Saline)

ที่ประกอบด้วยยาชาและอะดรีนาลีนเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันเพื่อช่วยระงับความรู้สึกและลดการเสียเลือด ข้อดีของฉีดสารละลายน้ำเกลือ คือ ช่วยเอาไขมันออกมาได้ง่าย พร้อมยังช่วยลดความรู้สึกไม่สบายต่าง ๆ หลังจากดูดไขมัน นอกจากนั้นยังช่วยลดบวมและรอยซ้ำ


• ใส่ท่อขนาดเล็กลงในเนื้อเยื่อไขมัน

และใช้อุปกรณ์สุญญากาศดูดไขมันในบริเวณที่ต้องการ หลังจากทำเสร็จแล้ว แพทย์จะนำผ้าพันแผลพันรอบบริเวณที่ดูดไขมันเพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้แผลหายได้ง่ายยิ่งขึ้น

ตอบทุกข้อสงสัยในการ ดูดไขมัน

การดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง?

• เหมาะกับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจากการดูดไขมัน
• เหมาะกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือใกล้เคียงมาตรฐาน
• เหมาะกับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ระหว่าง 18-25 เนื่องจากเป็นค่าดัชนีมวลกายที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด
• เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ผู้เข้ารับการดูดไขมันต้องมีร่างกายที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
• เหมาะกับผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับการดูดไขมัน ซึ่งผู้เข้ารับการดูดไขมันต้องมีความเข้าใจก่อนว่า ไขมัน ไม่สามารถดูดออกจากร่างกายได้ทั้งหมด เพราะไขมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ และการดูดไขมันไม่สามารถทำให้สัดส่วนรูปร่างคงเดิมตลอดไปได้ หากไม่ควบคุมการรับประทานอาหารและไม่ออกกำลังกายควบคู่กัน ไขมันก็สามารถกลับมาสะสมใหม่ได้อีก


เตรียมตัวอย่างไรก่อนดูดไขมัน?

• แจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์โดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสุขภาพ, โรคประจำตัว หรือโรคร้ายแรง, การแพ้ยา หรือการแพ้อาหาร, ประวัติการผ่าตัด และการได้รับยาระงับความรู้สึก เป็นต้น
• งดใช้ยาบางชนิดที่อาจมีผลกับการผ่าตัด เช่น ยาแก้ปวด, ยาแอสไพริน, น้ำมันตับปลา, วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินดี
• งดสูบบุหรี่
• งดดื่มสุรา
• งดทาเล็บ
• เตรียมชำระร่างกายให้สะอาด
• เตรียมเสื้อหลวม ๆ ไว้ใส่


ดูแลตัวเองอย่างไร? หลังการดูดไขมัน

• หลังผ่าตัดภายใน 24 – 48 ชั่วโมง จะรู้สึกปวดแสบร้อน บวม และมีรอยเขียวช้ำที่ผิวหนังบริเวณผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะให้รับประทานยาบรรเทาอาการปวดและประคบเย็นหลังผ่าตัด รวมถึงใส่ชุดรัดรูปเพื่อการกระชับ (Pressure Garment)
• ประมาณ 1 เดือน ควรใช้ผ้ายืดพันรัดหรือชุดรัดรูปเพื่อการกระชับในบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อช่วยกระชับกล้ามเนื้อและลดอาการบวม โดยอาการบวมจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันลักษณะเป็นลูกคลื่นจะยุบเข้าที่ประมาณ 3 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับการรักษาของแพทย์และคำแนะนำในการใช้ผ้ายืดพันรัดหรือชุดซัพพอร์ต
• ประมาณวันที่ 3 หลังผ่าตัด หากแผลแห้งดี ไม่มีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่แผล สามารถอาบน้ำได้ โดยต้องซับแผลให้แห้ง ทาแป้งได้ในบริเวณที่รู้สึกคัน แต่ห้ามทาที่บริเวณแผล
• แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบประมาณ 1 สัปดาห์ ห้ามทายาป้องกันการเกิดแผลเป็นนูน แต่ใช้ถูนวดเบา ๆ ที่ฟกช้ำได้
• หลังการรักษา 1 เดือน ควรงดออกกำลังกาย
• ในระยะยาวจำเป็นต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นรูปร่างจะกลับไปผิดสัดส่วนเช่นเดิม


ดูดไขมันแล้วน้ำหนักลดจริงหรือไม่?

• การดูดไขมันไม่ได้เป็นการลดน้ำหนักในระยะยาว แต่เป็นการปรับรูปร่างเฉพาะส่วน ดังนั้นต้องอาศัยการออกกำลังกายกับการคุมอาหารเป็นหลัก เพราะการดูดไขมันเป็นการปรับสัดส่วนรูปร่างให้เข้ารูปดูดีมากกว่า

การดูดไขมันดีอย่างไร?

• กำจัดไขมันส่วนเกินออกไปอย่างง่ายดาย
• ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน
• สามารถนำไขมันส่วนเกินที่ถูกดูดออกมาแล้ว ไปเพิ่มบริเวณอื่นของร่างกายได้
• ผลของการรักษาจะอยู่ได้นาน หากหมั่นดูแลตัวเอง ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอยู่เสมอ


หากท่านใดสนใจดูดไขมัน สามารถดูรายละเอียดการดูดไขมันที่ Fat Center ได้ https://fatcenterbkk.comดูดไขมัน